ทดลองขับ! MG ZS เอสยูวีน้องใหม่ บอกได้เลยว่ามัน “คุ้มค่า”

กลายเป็นกระแสที่ได้รับการถามไถ่อย่างมาก สำหรับรถยนต์ SUV รุ่นล่าสุดจาก MG ในรุ่น ZS ที่มีทั้งรูปร่างหน้าตาที่เกือบจะถอดแบบมาจาก มาสด้า CX-5 มาทั้งดุ้น

ขนาดอันใหญ่โตกว้างขวางของห้องโดยสาร แถมมีออปชั่น i-Smart ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยเป็นครั้งแรกของโลกได้ รวมทั้งยังสามารถควบคุมรถผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้อีกด้วย ที่สำคัญ ราคาค่าอยู่ที่ 7.89 แสนบาท (รุ่นท็อป) ยิ่งทำให้ MG ZS กลายเป็นพ่อหนุ่ม “เนื้อหอม” ไปโดยปริยาย

และในสัปดาห์นี้ เราได้มีโอกาสไปลองขับ SUV แสน Hot คันนี้บนเส้นทางกรุงเทพ-ระยอง กับระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ถ้านับขับกลับมาด้วยก็ 400 กว่ากิโลเมตร ทำให้พอจะรู้จักกับ MG ZS คันนี้อยู่พอสมควร

MG ZS เป็นรถยนต์ที่บอกได้เลยว่ามีศัตรู “รอบคัน” ไปหมด ทั้งจากขนาดและประเภทของตัวรถก็ต้องเจอกับ “ขาใหญ่” อย่าง ฮอนด้า CH-R ,มาสด้า CX-3 ,ฟอร์ด eco-Sport และ นิสสัน Juke แบบเต็มๆ แต่ถ้าหันไปมองด้านราคาก็จะไปเจอกับ ฮอนด้า BR-V รถอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่งของมาสด้า เห็นมั้ยครับว่า MG ZS งานหนักแค่ไหน

เมื่อศัตรูรอบตัวขนาดนี้หาก MG ZS มีดีไม่พอละก็ งานนี้เตรียมเก็บของกลับบ้านได้เลย!!

ขอเข้าเรื่องเลยดีกว่า เริ่มจากรูปร่างหน้าตาของ MG ZS ที่หลายคนบอกว่า COPY มาจากมาสด้านั้น ทางผู้บริหาร MG ยืนยันว่าทาง MG ออกแบบมากับมือ แต่อาจจะไปใกล้เคียงกับยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งก็มีความเป็นไปได้ อ้าวว!! บอกมาแบบนี้ก็เลยไม่รู้ว่าจะถามยังไงต่อ เอาเป็นว่า ทาง MG ยืนยันว่าไม่ได้ COPY แต่บังเอิญไปเหมือนเท่านั้น

แต่จะว่าไปผมว่าหน้าตาของ MG ZS ดูลงตัวใช้ได้เลยนะครับ สวยยยเลยหล่ะ และนี่กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ MG ZS เข้าตาใครหลายต่อหลายคนเลยทีเดียว นอกจากความสวยงามลงตัวแล้วอีกสิ่งที่ทำให้ MG ZS น่าสนใจขึ้นมาคือเรื่องของขนาดห้องโดยสารที่กว้างขวางเอาการ เรียกว่ากว้างกว่ารถทุกรุ่นที่ผมกล่าวมาข้างต้นก็แล้วกัน

การเปิดตัว MG ZS ครั้งนี้ผมว่าทางผู้บริหาร MG ทำการบ้านมา “ดีมาก” เลยทีเดียวเพราะเรารู้ๆกันอยู่แล้วว่าตลาด SUV เล็กนั้นดุเดือดแค่ไหน ก็เลยจัดใหญ่ ใส่เต็มกับออปชั่นมาเต็มที่ แถมทำราคามาแบบค่ายรถยนต์อื่นๆ “ตาตั้ง” เลยทีเดียวโดย MG ZS มีด้วยกัน 3 รุ่นย่อย คือ รุ่น C ,D และ X ที่มากับค่าตัว 6.79 แสนบาท ,7.29 แสนบาท และ 7.89 แสนบาท ตามลำดับเห็นแค่ราคา กับขนาดของตัวรถก็เหลียมมามองกันแล้ว

ทีนี้เรามาดูในรายละเอียดของ MG ZS กันหน่อยดีกว่าว่าใส่อะไรกันมาบ้าง เริ่มตั้งแต่ภายนอก ไฟหน้าของ MG ZS ยังไม่ใช่ LED เป็นแค่โปรเจ็คเตอร์ธรรมดาครับ แต่ระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น X) มีไฟเด​ย์ไทม์ รันนิ่ง มาให้ด้วย ส่วนไฟท้ายเป็น LED กระจ่างตาดี มีไฟตัดหมอกมาให้ด้วย แต่มีเฉพาะรุ่น D กับ X เท่านั้น ส่วนรุ่น C มีแต่ไฟตัดหมอกหลังครับ

ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว กำลังหล่อเลยพอดีตัวดีครับไม่ใหญ่ไม่เล็ก ถ้าใหญ่กว่านี้เวลาเปลี่ยนยางทีค่าเสียหายหลายตังค์ไม่ไหวครับ ซื้อรถไม่แพงแต่ไปหมดกับค่ายางก็คงไม่ดี

เปิดฝาท้ายออกพบกับห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่มากกก ใครที่ต้องการรถ SUV ที่ไม่ใหญ่มากแต่มีห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ละก็ไม่ผิดหวังแน่ ขนาดของห้องเก็บสัมภาระใกล้เคียงกับฮอนด้า HR-V และ ฟอร์ด eco-Sport เลยทีเดียว

 

แต่ๆๆๆ ครับ ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของ MG ZS ยังมีลูกเล่นอีกอย่างที่บอกได้เลยว่า “โคตรเจ๋ง” นั่นคือพื้นห้องเก็บสัมภาระหลังนี้สามารถลดระดับให้ลึกลงได้อีก 1 สเต็ป ทำให้ห้องเก็บสัมภาระของ MG ZS ใหญ่ขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียว เจ๋งมากครับจุดนี้ เหนือกว่ารถในระดับเดียวกันเลยในจุดนี้

ลองขยับเข้ามาในห้องโดยสารกันบ้าง แต่ขอนั่งหลังก่อนนะครับ พื้นที่ผู้โดยสารตอนหลังกว้างขวางเลยทีเดียวไม่อึดอัด พื้นที่วางขามีพอเพียง พื้นที่เหนือศรีษะก็เหลืออีกเยอะเลยไม่รู้สึกว่าเจ้ารถคันนี้เป็นรถ SUV ขนาดเล็กเลย เบาะนั่งแบบ PVC เกรดพอใช้ได้เลยครับ ไม่ใช่ PVC เกรดต่ำแน่นอน ดูหรูหราพอสมควร

แต่สิ่งที่น่าติ ก็คืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกของผู้โดยสารตอนหลังนั้น “ไม่มี” อะไรมาให้เลย ไม่ว่าจะเป็นที่พักแขนสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ช่องเสียบ USB ช่องแอร์หลัง เราหาไม่ได้ใน MG ZS คันนี้ครับ ทำให้ผู้โดยสารตอนหลังค่อนข้างลำบากละครับ หากต้องเดินทางไกลๆ ช่องใส่ขวดน้ำมีมาให้ที่ตรงแผงข้างประตูเท่านั้น นั่นหมายความว่าคุณไม่สามารถวางแก้วกาแฟได้ในระหว่างการเดินทางจุดนี้ ผมมองว่า MG ควรจะต้องปรับปรุงในอนาคต

ก้าวกลับมาที่ตำแหน่งผู้ขับกันดีกว่า เบาะนั่งนั่งสบายใช้ได้เลยครับ ไม่เมื่อยล้าเท่าไหร่ ภายในตกแต่งด้วยสีน้ำตาลอ่อนแบบทูโทน ก็พอใช้ได้ครับให้ความรู้สึกหรูหรา ไม่เหมือนกับรถ MG รุ่นก่อนๆ อย่างที่ผมบอกครับ MG ทำการบ้านมาดีมาก เพื่อทำให้ MG ZS กลายเป็นรถที่ “ดูดี” ทั้งภายนอกและภายใน และบอกได้เลยว่าเจ้า MG ZS นี้ไม่อายใครเลยครับ แต่ติดตรงที่ หน้าจอแสดงผลกลางที่ยังดู เหมือนหน้าจอโทรศัพท์รุ่นเก่าไปหน่อยยังไม่คมชัดเท่าไหร่ ทำให้แผงคอนโซลหน้าดูไม่หรูหราเท่าที่ควร นอกนั่นผ่านครับ

เหลือบตามองบน ก็เจอกับหลังคาซันรุฟ บานเบ้อเริ่มที่เป็นแบบพาโนรามิก ที่กว้างไปถึงผู้โดยสารตอนหลังถือว่าเป็นรถราคาไม่ถึง 1 ล้านบาทคันเดียวที่มีหลังคาพาโนรามิคครับ ซึ่งหลังคาพาโนรามิคนี้ หลายคนอาจกังวลว่าจะส่งผลกับอากาศในห้องโดยสารหรือเปล่า เพราะแดดบ้านเราเอาเรื่องไม่น้อย

 

ก็ต้องบอกว่า หลังคาพาโนรามิกตัวนี้ เป็นกระจกเฉดที่กรองแสงและความร้อนแล้วประมาณ 40% ซึ่งกันแดดกันความร้อนระดับนึงครับ เนื่องจากม่านกั้นหลังคานั้นเป็นแบบโปร่งแสง ซึ่งทาง MG บอกว่าต้องการให้ภายในรถดูสว่าง และโปร่ง ซึ่งก็จริงครับเมื่อเข้ามานั่งในรถเราจะรู้สึกว่ารถคันนี้ก็ว้าวไม่น้อยเลยทีเดียว

ซึ่งทางแก้เรื่องความสว่าง และความร้อนจากหลังคาพาโนรามิก ก็คือการติดฟิล์มกรองแสงเพิ่มเข้าไป ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไปทันที หากใครอยากให้ในรถทึบหน่อยก็ติดฟิล์มทึบ ใครอยากให้รถสว่างเหมือนเดิมก็ติดฟิล์มใส แต่กรองความร้อนดีๆ ก็แจ่มไปอีกแบบครับ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมจะติดฟิล์มใสนะ รถสว่างดี

มาลองขับกันเลยดีกว่า ทันทีที่กดปุ่มสตาร์ท ผมขอเล่นฟังก์ชั่นนี้ก่อนเลย นั่นคือฟังก์ชั่นปรับน้ำหนักพวงมาลัย ที่เราต้องเข้าไปปรับที่จอแสดงผลกลางครับ โดยน้ำหนักพวงมาลัยนี้สามารถปรับได้ 3 ระดับคือ ในเมือง ,ทั่วไป และสปอร์ต ก็เท่ดีครับกับฟังก์ชั่นนี้ ซึ่งดีมากกับสาวๆ ที่ต้องการขับรถที่พวงมาลัยเบาๆ หรือเวลาที่เราขับในเมืองแล้วต้องการรถพวงมาลัยเบาๆ ก็ปรับไปที่ในเมือง พวงมาลัยก็เบาขึ้นมาเลยครับ เจ๋งๆ เหมาะกับเวลาเราขับรถไปในห้างที่ต้องหมุนพวงมาลัยเยอะๆ เวลาเข้าจอดในที่แคบๆ ง่ายมือเลย

แต่ผมใช้โหมด ปกติ ครับไม่หนืดๆมือนิดนึงกำลังดี ถ้าใครชอบพวงมาลัยหนักๆ สไตล์รถสปอร์ต หรือรถยุโรป ก็ปรับเป็นโหมดสปอร์ต ได้เลย แต่ความหนักของพวงมาลัยนี้จะปรับน้ำหนักเพิ่มตามความเร็วของรถนะครับ แม้ว่าคุณจะปรับโหมดเป็นในเมือง ถ้าคุณขับรถเร็วขึ้นพวงมาลัยก็จะหนักขึ้นตามไปด้วย

มาดูที่เครื่องยนต์กันดีกว่า เครื่องยนต์ของ MG ZS ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นบล็อคเดียวกับรถซีดาน MG5 แต่ได้ปรับปรุงเครื่องตัวนี้ใหม่ให้เบาลงหลายสิบกิโลกรัม และแรงม้าเพิ่มขึ้นจาก 106 แรงม้ามาเป็น 114 แรงม้า โดยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่ถูกพัฒนาใหม่นี้ ได้นำมาใช้ใน MG ZS เป็นรุ่นแรก ส่วนเกียร์เป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เท่านั้น

บอกได้เลยว่า ครั้งแรกที่ได้ยินว่า MG ZS ใช้เครื่อง 1.5 ลิตร มาใช้ร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ผม “ยี้” เลยครับ เพราะมองว่าอย่าง “ล้าสมัย”

แต่เมื่อมาลองขับจริงๆ แล้วอัตราเร่งในช่วงต้น โดยเฉพาะตอน “ออกตัว” ผมบอกได้เลยว่า อึ้ง!! ครับ การออกตัวจากล้อหยุดนิ่ง MG ZS ทำได้ดีมาก ไม่มีความรู้สึกว่าอืดอะไรเลย รวมถึงอัตราการเร่งแซงในความเร็วระดับกลางอยู่ในเกณฑ์ที่บอกเลยว่า “รับได้” แม้ว่าเครื่องจะไม่ได้แรงอะไรมากนัก แต่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสบาย ไม่ได้อืดเหมือนอย่างที่คิด

เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็ทำงานได้ไหลลื่นดีครับ ไม่มีอาการกระตุกให้เห็น จะมีก็แต่ในความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ลากรอบเครื่องยนต์หนักหน่อย การเร่งแซงในช่วงความเร็วสูง ต้องใช้เวลาลากรอบเครื่องยนต์มากสักหน่อย ซึ่งก็ต้องรู้จักกับเครื่องยนต์และตัวรถหน่อยครับ

ผมขับที่ความเร็วที่สูงกว่ากฏหมายกำหนด ช่วงล่างใช้ได้เลย ไม่มีร่อนไม่มีสั่น พวงมาลัยนิ่ง ซึ่งช่วงล่างของ MG นี้ผมนับถือมาตั้งแต่รถซีดานอย่าง MG5 แล้ว ช่วงล่างไว้ใจได้ครับขับเร็วไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่กว่าจะเร็วนี่แหละที่ต้องใช้เวลามากหน่อย

สรุปเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 4 เกียร์ ใช้งานได้ดีทีเดียว ใช้งานในเมืองได้สบาย ออกต่างจังหวัดได้แต่ไปแบบเรื่อยๆ ก็เหมือนกับรถเครื่อง 1.5 ทั่วไปนั่นแหละครับ หวือหวามากไม่ได้

อัตราการสิ้นเปลือง ตอนแข่งขับประหยัดผมทำได้ 18 กิโลเมตรต่อลิตร แต่นั่นเป็นการแข่งนะครับ ใช้อ้างอิงไม่ได้ ถ้าใช้งานจริงอัตราการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 10 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าประหยัดอะไรมากนัก แต่เมื่อเทียบกับขนาดของรถที่คันเบ้อเริ่ม เครื่องยนต์เท่านี้ ราคาเท่านี้ ผมรับได้ครับ

มาดูถึงฟังก์ชั่น i-Smart กันหน่อย พวกคำสั่งใช้งานด้วยเสียงที่ฮือฮากันนั้น ผมว่ามันเป็นสเน่ห์ของรถคันนี้นะที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ ทั้ง เปิด-ปิด หลังคา เปิด-ปิด กระจก เปิด-ปิด วิทยุ เพิ่ม-ลด ระดับเสียงเครื่องเสียง เปิด-ปิด ระบบปรับอากาศ เพียงแค่พูดว่า Hello MG!! ระบบสั่งคำสั่งด้วยเสียงก็พร้อมทำงาน ซึ่งระบบนี้ ก็ต้องใช้เวลาฝึกกับรถหน่อยนะครับ ครั้งแรกๆ อาจจะสับสนกันบ้าง แต่อย่างเพิ่งบอกว่าระบบใช้ไม่ได้นะครับ เพราะระบบต้องเรียนรู้เสียง และคำสั่งของเจ้าของรถบ้าง โดยทาง MG บอกว่าใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็น่าจะโอเคแล้ว คือต้องสั่งกันบ่อยๆ นั่นแหล่ะครับ ระบบถึงจะเสถียร

นอกจากคำสั่งเสียงแล้ว ผมชอบระบบ i-Smart ที่ทำงานผ่าน แอปพลิเคชันชั่นมือถือมากที่สุด เพราะทำให้เราได้รู้สถานะตัวรถของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจอดอยู่ที่ไหน ให้รถเปิดไฟ หรือมีเสียงแตร แสดงตำแหน่งของรถได้ด้วย สบายเลยครับทีนี้ ไม่ต้องกลัวหารถไม่เจอแล้ว และระบบนี้ยังบอกเจ้าของได้อีกด้วยเมื่อรถถูกขับออกนอกพื้นที่ที่เรากำหนดไว้หรือไม่ และยังสั่งสตาร์ทและเปิดแอร์ก่อนที่เราขึ้นรถได้อีกด้วย ชอบอะ และถ้ารถถูกโจรกรรม ระบบนี้ก็จะบอกเราว่ารถกำลังเคลื่อนไปที่ไหน ตัดปัญหาเรื่องรถหายไปได้เลย

บอกได้เลยครับว่า ระบบ i-Smart ความกว้างขวางภายในตัวรถ อุปกรณ์มาตรฐานที่มีมาให้ กับราคารถที่ราคารุ่น C ราคา 679,000, รุ่น D ราคา 729,000, รุ่น X ราคา 789,000 ขนาดตัวผมเองยังอยากได้สักคันเลย