เคยรู้บ้างมั๊ย! ว่าเลขตัวถังรถ 17 หลักในรถคุณ มันมีความหมายอย่างไร?

สำหรับเจ้าของรถทุกคน คงจะรู้อยู่แล้วว่ารถแต่ละคัน มีหมายเลขตัวถังเฉพาะตัวแตกต่างกันไป แต่รู้หรือไม่ละว่า เลขตัวถังเหล่านี้มีความหมายอย่างไรบ้าง

เลขตัวถัง (Vehicle Identification Number) หรือเรียกย่อๆ ว่า VIN ของรถแต่ละคันจะถูกระบุแตกต่างกันออกไป โดยแต่ละคันจะประกอบด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขจำนวนทั้งหมด 17 หลัก หากเลขตัวถังมีจำนวนหลักอยู่ระหว่าง 11-16 หลัก นั่นแปลว่ารถคันดังกล่าวถูกผลิตขึ้นก่อนปี ค.ศ. 1981

 

ซึ่งความหมายของเลขตัวถัง แต่ละหลัก สามารถจำแนกให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังนี้

หลักที่ 1 : จะเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรหลักแรกบ่งบอกถึงภูมิภาคที่รถคันนั้นถูกผลิตขึ้น ประกอบด้วย

A – H ผลิตในทวีปแอฟริกา
J – R ผลิตในทวีปเอเชีย (ยกเว้น O และ Q)
S – Z ผลิตในทวีปยุโรป
1 – 5 ผลิตในทวีปอเมริกาเหนือ
6 – 7 ผลิตในนิวซีแลนด์ หรือ ออสเตรเลีย
8 – 9 ผลิตในทวีปอเมริกาใต้

หลักที่ 2-3

บ่งบอกถึงบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งกำหนดต่างกันออกไป เช่น RH หมายถึง ฮอนด้าประเทศไทย, R0 หมายถึง โตโยต้าประเทศไทย, M8 หมายถึง มาสด้าประเทศไทย (ความหมายของ

หลักที่ 4-8

บ่งบอกถึงรายละเอียดของตัวรถ ซึ่งกำหนดแตกต่างกันไปตามแต่ละผู้ผลิต เช่น รูปแบบตัวถัง, ระบบเกียร์, รุ่นย่อย เป็นต้น

หลักที่ 9

เป็นตัวเลขสำหรับยืนยันว่าไม่ใช่ VIN ปลอม โดยจะมีรูปแบบการคำนวณที่ซับซ้อน เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเลขประจำตัวรถ หรือเข้าดูรายละเอียดได้ที่
https://en.wikibooks.org/wiki/Vehicle_Identification_Numbers_(VIN_codes)/Check_digit

หลักที่ 10

บ่งบอกปีที่ผลิตรถคันนั้น โดยเริ่มนับจากปี 1980 ที่มีการใช้รหัส VIN 17 หลักเป็นมาตรฐานครั้งแรก เริ่มจากอักษร A แทนปี 1980 ไล่มาจนถึงอักษร Y แทนปี 2000
หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนไปใช้ตัวเลข 1 แทนปี 2001 ไล่มาจนถึงตัวเลข 9 แทนปี 2009 และจึงกลับมาใช้อักษร A แทนปี 2010 อีกครั้ง และไล่เรียงมาเรื่อยๆ จนถึงปีปัจจุบัน

หลักที่ 11

บ่งบอกถึงโรงงานที่ประกอบรถคันนั้น ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละผู้ผลิต

หลักที่ 12-17

สำหรับตัวเลขที่เหลือเป็นการรันตามสายการผลิต หรือ Serial number ซึ่งทำให้รถแต่ละคันมี VIN ที่แตกต่างกันออกไป